Friday 18 March 2011

อีกหนึ่งความช้ำของซีซั่น


ย่ำแย่และก็สมควรที่จะตกรอบจริงๆครับ สำหรับฟอร์มของหงส์แดงทั้งๆที่เล่นในแอนฟิลด์แต่ก็ทำอะไรผู้มาเยือนอย่างบราก้าไม่ได้ทำให้รวมผลสองนัดบราก้าที่ตุนสกอร์หนึ่งลูกมาจากนัดแรกนั้นก็เพียงพอที่จะทำให้พวกเขาผ่านเข้าสู่รอบต่อไป ส่วนลิเวอร์พูลต้องจบเส้นทางในฟุตบอลยุโรปไว้เพียงแค่รอบนี้เท่านั้น

นัดนี้แอนดี้ คาโรลล์ได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงครั้งแรกตั้งแต่ย้ายมาร่วมทีมเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ส่วนตำแหน่งอื่นๆยังไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก ลูคัส เมเรเลส มักซี่ โคลและเค้าท์ ลงสนามคุมพื้นที่แดนกลางพร้อมกัน ส่วนแดนหลังนำทีมโดย คาราเกอร์ สเคอร์เทล จอห์นสันและวิลสัน ในตำแหน่งแบ็กซ้าย

เริ่มต้นเกมเจ้าถิ่นรุกใส่ทีมเยือนอย่างคึกคักโดยอาศัยบอลโด่งโดยมีเป้าหมายที่คาโรลล์ในแดนหน้าและก็เกือบขึ้นนำในหลายๆจังหวะแต่ก็ยังไม่ได้ จนเล่นไปเล่นมาดูเหมือนว่าทีมเยือนจะจับทางได้เพราะนักเตะหงส์แดงวันนี้เล่นบอลยาวอย่างเดียว กองกลางไม่สามารถเก็บบอลได้เลย จังหวะชิ่งบอลเหมือนที่ผ่านๆมาหายไปหมด จนจบครึ่งแรกก็ยังทำอะไรทีมเยือนไม่ได้

ครึ่งหลังรูปเกมก็ยังเป็นแบบในครึ่งแรก บอลยาวตั้งแต่แดนหลังไล่ไปจนถึงกองกลาง โดยมีเป้าหมายที่คาโรลล์ก็ยังทำอะไรทีมเยือนไม่ได้  อีกทั้งแดนกลางในนัดนี้ดูเฉื่อยฉาเหมือนขาดแรงกระตุ้นในการเล่นมากโดยเฉพาะเมเรเลส จังหวะจ่ายบอลเสียเยอะเหลือเกินและไม่ไล่บอล ส่วนลูคัสก็หนักไปทางทำฟาล์วแบบพร่ำเพรื่อ ด้านโจ โคลและมักซี่ หายไปจากเกมทั้งคู่ จะมีเพียงเดิร์ค เค้าท์เท่านั้นที่ยังเล่นได้ตามฟอร์มและขยันเหมือนที่ผ่านมาแต่ก็ยังทำอะไรไม่ได้มาก ด้านกองหลังก็ก้มหน้าก้มตาโยนยาวแต่ไร้ซึ่งความแม่นยำ จนทำให้รูปเกมของเจ้าถิ่นแทบไม่ได้ลุ้นเลย แม้ว่าท้ายเกมเกือบจะได้ประตูจากการยิงแบบจ่อๆของสเคอร์เทล แต่ก็ยังไม่ผ่านมือนายทวารทีมเยือน แม้ว่าทีมกำลังจะตกรอบแต่พลพรรคเดอะ ค็อปก็ยังร้องเพลง you'll never walk alone ให้กำลังใจนักเตะอยู่ตลอด จนจบเกมหงส์แดงทำได้แค่เสมอและตกรอบไปแบบไม่ได้ลุ้นเลย

หลังจากเกมนัดนี้บรรดากองเชียร์เดอะ ค็อปก็ได้แต่หวังว่าในฤดูกาลนี้ที่เหลืออยู่ทีมจะทำผลงานได้ดีเพื่ออันดับที่สูงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ในบอลลีค และหวังว่าในฤดูกาลหน้าทีมจะกลับมามีลุ้นแชมป์อีกครั้งหนึ่งครับ

ปล เดอะ ค็อป ยอดเยี่ยมจริงๆครับ

Saturday 12 March 2011

น้ำหอม กะ ลิเวอร์พูล

น้ำหอม กะ ลิเวอร์พูล

หลายๆคน คงจะงงว่า น้ำหอม กะ ลิเวอร์พูล เกี่ยวกันอย่างไร ทำไมจึงมาเขียนเรื่องนี้ ก่อนอื่นต้องขอบอกว่าเจ้าของเว็บไม่ได้เป็นคนเขียน เป็นเพื่อนของเจ้าของเว็บที่เป็นคนเขียน ผมเป็นคนขายน้ำหอม ชอบน้ำหอมและชอบลิเวอร์พูล ผมจึงมาช่วยเขียนบทความที่เกี่ยวกับลิเวอร์พูลและฟุตบอล แต่เขียนเกี่ยวกับลิเวอร์พูลอย่างเดียวไม่ถนัด ผมจึงเขียนข่าวน้ำหอมของลิเวอร์พูล และผมก็หาบทความเกี่ยวกับน้ำหอมและลิเวอร์พูลมาแปลให้เพื่อนๆได้ทราบกัน

น้ำหอมบนโลกนี้มีมากมายหลายร้อยหลายพันแบรนด์และรุ่น และลิเวอร์พูลก็มีน้ำหอมในหลายๆแบรนด์ด้วยเช่นกัน L4 เป็นชื่อน้ำหอมของลิเวอร์พูลโดยรุ่นนี้มีทั้งน้ำหอมของผู้ชายและน้ำหอมของผู้หญิง โดยน้ำหอม L4 Men เปิดตัวครั้งแรกในช่วงคริสมาสต์ปี 2008 ส่วนน้ำหอมผู้หญิง มีชื่อน้ำหอมว่า L4 Ladies เปิดตัวในช่วงคริสมาสต์ปี 2010 โดยมีราคา 12 ปอนด์ 25 มิลลิลิตร น้ำหอมผู้หญิงจะให้กลิ่นแนวดอกไม้ เช่นกลิ่น มะลิ, กุหลาบ, muguet, violet และกลิ่นเบสตามมาด้วยกลิ่น Wood และ Soft Musk น้ำหอมนี้เป็นน้ำหอมประเภท Eau De Toilette

แฟนหงส์ตัวจริง หาน้ำหอมมาใช้กันได้เลยจ้า หอมไม่หอมอย่างไรมาคอมเมนท์ให้ด้วยน้า...



ปีศาจแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดจัดการส่งอาร์เซน่อลกลับลอนดอนไปรักษาแผลใจจากการหมดลุ้นแชมป์ถึงสามรายการในเวลาแค่สองสัปดาห์หลังจากเปิดบ้านเอาชนะปืนใหญ่ไปได้ด้วยสกอร์ 2-0 ในศึกเอฟ เอ คัพรอบที่ห้า เมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา

เชื่อว่าก่อนที่เกมจะเริ่มขึ้นแฟนผีหรือแม้กระทั่งแฟนบอลทั่วโลกที่ได้ทราบรายชื่อผู้เล่นของเจ้าถิ่นก่อนลงสนามคงจะอดประหลาดใจไม่ได้ท่านเซอร์คิดอะไรอยู่ถึงได้จัดกองหลังอาชีพลงลงสนามเป็นสิบเอ็ดผู้เล่นตัวจริงถึงเจ็ดคนประกอบไปด้วย บราวน์,วิดิช สมอลลิ่ง, เอฟร่า, ราฟาเอล, ฟาบิโอและโอเชีย โดยสามรายหลังลงสนามในตำแหน่งกองกลาง ทำให้แฟนผีเกิดอาการเสียวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ส่วนทีมเยือนอาแซน เวนเกอร์จัดทีมตามคาด โดยส่งฟาน เพอร์ซี่, นาสรี่และอาร์ชาวิน เป็นสามประสานในแดนหน้า

เกมช่วงต้นเป็นอาร์เซน่อลที่เป็นฝ่ายควบคุมเกมเอาไว้ได้เป็นส่วนใหญ่ โดยกองกลางยูไนเต็ดยังหาบอลกันไม่เจอ แต่เกมรับก็ยังเหนียวแน่นต้านทานเกมบุกทีมเยือนไว้ได้ จนกระทั่งผีแดงเริ่มจะพอตั้งเกมได้และมาได้ประตูขึ้นนำอย่างไม่คาดฝันเมื่อฟาบิโอตามซ้ำแบบจ่อๆจากลูกโหม่งของชิชาร์ริโต้ที่โดนอัลมูเนียเซฟไว้ได้ จากนั้นเกมก็ยังตกเป็นของอาร์เซน่อลแต่ก็ยังหาทางเจาะประตูเจ้าถิ่นไม่ได้เพราะวันนี้นักเตะเกมรับเยอะเหลือเกิน จบครึ่งแรกเจ้าถิ่นนำอยู่หนึ่งลูก

เริ่มครึ่่งหลังท่านเซอร์ส่งวาเลนเซียลงสนามมาสร้างความจี๊ดจ๊าดทางริมเส้นแทนฟาบิโอ แต่อาร์เซน่อล ก็ยังเปิดเกมรุกได้มากกว่าเช่นเคย แต่กองหลังของเจ้าถิ่นทั้งวิดิชและสมอลลิ่งยังประสานงานกันได้ดี โดยเฉพาะสมอลลิ่งที่โดดเด่นมากในนัดนี้ แต่ทีมเยือนก็เกือบจะได้ประตูตีเสมอหลายครั้งแต่น้าซาร์ก็ยังไม่พลาด มิหนำซ้ำเจ้าถิ่นก็มาได้ประตูที่สองอีกครั้งจากการโหม่งของรุนี่ย์ และหลังจากโดนประตูที่สองไปนักเตะทีมเยือนดูเหมือนจะถอดใจ โดยเฉพาะอาร์ชาวิน ที่ดูเฉื่อยฉาเหลือเกิน จ่ายบอลพลาดและดูไม่ค่อยขยันไล่บอลเท่าที่ควร จะมีก็แค่วิลเชียร์และนาสรี่ เท่านั้นที่ยังดูมีความพยายามปั้นเกมให้ทีมเยือนแต่ก็ยังไม่สามารถยิงผ่าน ฟาน เดอ ซาร์ ที่วันนี้ยืนตำแหน่งได้ดีเหลือเกินไปได้

หลังจากนั้นทั้งสองทีมก็มีการทยอยเปลี่ยนตัวสำรองลงสนามกันมาอย่สงต่อเนื่อง และอาร์เซนอลก็มีโอกาสที่น่าจะได้ประตูตีไข่แตกหลายครั้งจากทั้ง ฟาน เพอร์ซี่และชามัคห์แต่น้าซาร์ก็ยังไม่พลาดอีกตามเคย หลังจากโหมบุกหนักแต่ก็ยังไมได้ประตู ทำให้ทีมเยือนดูจะถอดใจและยอมรับกับผลการแข่งขันในนัดนี้ไปแล้ว ทำให้จบเกมปีศาจแดงยัดเยียดความปราชัยให้ทีมเยือนไป 2-0

วิเคราะห์หลังเกม

ท่านเซอร์นัดนี้เก็บผู้เล่นตัวจริงไว้ข้างสนามเพื่อรักษาความสดเอาไว้ในเกมกลางสัปดาห์และส่งดาวรุ่งลงสนามมาหลายคน แต่ทุกคนก็ไม่ทำให้ผิดหวังโดยเฉพาะฝาแฝด ราฟาเอลและฟาบิโอที่ดูจะเล่นได้ตามแผนที่เซอร์อเล็กซ์วางไว้โดยโดดเด่นทั้งเกมรุกและรับและประสานงานกับรูนี่ย์และชิชาร์ริโต้ ได้สวยๆหลายต่อหลายครั้ง ส่วนในแนวรับสมอลลิ่งก็ดูเหมือนว่าจะปรับตัวได้ดีขึ้นเรื่อยจากการยืนคุ่กับวิดิชมาตลอดในช่วงหลังจนทำให้หลายคนลืมริโอ เฟอร์ดินานด์ไปแล้ว ด้านแนวรุกของทีมเยือนไม่สามารถสร้างปัญหาให้กับพวกเขาได้มากนักเพราะดูนักเตะทีมเยือนทั้งดูเหมือนจะล้าและดูจะยังไม่สร่างจากผลงานที่น่าผิดหวังในสองอาทิตย์ที่ผ่านมา แม้ว่าผู้เล่นอย่างนาสรี่, วิลเชียร์และฟาน เพอร์ซี่ จะพยายามอย่างเต็มที่แล้วก็ตาม แต่ในรายของอาร์ชาวิน ถือว่าผลงานในนัดนี้สอบตกอย่างชัดเจนผิดพลาดตลอดทั้งเกมและดูขาดความฟิตและแรงกระตุ้นเป็นอย่างมาก จนทำให้ไม่สามารถช่วยทีมให้รอดจากความปราชัยในนัดนี้ไปได้

หลังจากนัดนี้เราต้องมาดูกันต่อไปว่า อาแซน เวนเกอร์จะกระตุ้นลูกทีมให้กลับมาสู้และลุ้นกับอีกหนึ่งรายการที่เหลือความหวังอยู่ในฤดูกาลนี้คือถ้วยพรีเมียร์ลีคได้ดีมากน้อยขนาดไหนและท่านเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสันจะพาปีศาจแดงเถลิงบัลลังก์แชมป์สมัยที่ 19 แซงหน้าอริอย่างลิเวอร์พูลได้หรือไม่ โปรดติดตามกันต่อไปครับบบบบ

Preview Big Match FA cup


บิ้กแมตช์เกมเอฟ เอ คัพรอบแปดทีมสุดท้ายในคืนนี้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดที่หวังจะคว้าแชมป์ในถ้วยใบนี้เปิดบ้านต้อนรับการมาเยือนของ ไอ้ปืนใหญ่ อาเซร์น่อล ที่ช่วงนี้ดูเหมือนว่าจะไม่มีโชคเอาซะเลยทั้งพลาดแชมป์ลีค คัพและตกรอบยูฟ่า แชมป์เปี้ยนลีคที่พ่ายบาร์เซโลน่ามาเมื่อกลางสัปดาห์

เกมนี้ผีแดงเจ้าถิ่นจะไม่มี นานี่ ปีกตัวเก่งแน่นอนหลังจากบาดเจ็บจากการโดนคาราเกอร์เข้าสกัดแบบรุนแรงจากเกมแดงเดือดที่พ่ายลิเวอร์พูล 3-1ส่วนตัวแทนอย่าง วาเลนเซียยังไม่น่าจะพร้อมสำหรับเกมนี้ เมื่อวันอาทิตย์ที่แล้ว ส่วนเกมรับจะได้เนมานย่า วิดิช กลับมาจากโทษแบน ส่วนแดนหน้าต้องเดาว่าท่านเซอร์จะเลือกใครมาจับคู่กับ รูนี่ย์

ทีมเยือนอาร์เซน่อลจะไม่มี เชส ฟาเบรกัสกองกลางตัวเก่งเช่นเดียวกันเนื่องจากอาการบาดเจ็บและเชสย์นี่ นายทวารเบอร์หนึ่่งที่เจ็บนิ้วจากเกมพ่ายบาร์เซโลน่าเช่นเดียวกัน ส่วนวัลคอตต์,ซง, แฟร์มาเล่น ยังบาดเจ็บอยู่ทั้งหมด โดยฝากความหวังไว้กับฟาน เพอร์ซี่ที่จะลงเป็นหน้าเป้าในนัดนี้

ความน่าจะเป็นของเกม

ทีมเยือนคงจะมาเน้นเกมรับให้รัดกุมมากขึ้นกว่าเดิมและแพ็คกองกลางให้แน่นเพื่อกุมความได้เปรียบในแดนกลางและใช้จังหวะสวนกลับเร็วเพื่อเล่นงานกองหลังเจ้าถิ่นโดยอาศัยความเร็วของแนวรุกอย่าง เพอร์ซี่, นาสรี่และอาร์ชาวิน เป็นทีเด็ด ส่วนแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เจ้าถิ่นแม้จะต้องโดนบีบให้เล่นเกมรุกแต่ก็คาดว่าคงจะไม่ผลีผลามเช่นกันและจะอาศัยความขยันของแดนกลางของผู้เล่นอย่าง เฟล็ทเชอร์หรืออันเดอร์สันวิ่งทำลายเกมของทีมเยือน และนัดนี้จะไม่มีนานี่ปีกตัวความหวัง ทำให้เกมบุกทางริมเส้นที่เป็นทีเด็ดของทีมหายไปทำให้นัดนี้ความหวังในของทีมคงจะหนีไม่พ้น รูนี่ย์ อีกตามเคย

ฟันธง

นัดนี้มีความรู้สึกว่า ปืนใหญ่ น่าจะคัมแบ็คกลับมาได้ ส่วนจะบุกไปชนะได้เลยมั้ย ต้องรอดูกัน แต่มีความมั่นใจลึกๆว่าปืนโตปิดประตูแพ้ในนัดนี้ครับและมีความเป็นไปได้ที่อาร์เซน่อลจะบุกไปช็อคปีศาจแดงถึงถิ่นเช่นกัน ส่วนสกอร์น่าจะอยู่ที่ 1-2

Thursday 10 March 2011

งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา


หลังจากได้อ่านรายงานข่าวการแข่งขันสนุ้กเกอร์รายการชิงแชมป์โลกที่ประเทศอังกฤษรายการสุดท้ายของปีนี้ของ " ไทย ทอร์นาโด "  เจมส์ วัฒนา หรือ รัชพล ภู่โอบอ้อม ของบรรดาแฟนสอยคิวบ้านเราและมืออันดับที่ 70 ของโลกในปัจจุบัน ที่พ่ายแพ้ต่อนักสนุ้กเกอร์ชาวสกอตแลนด์ไปแบบเฉียดฉิว 10 ต่อ 8 เฟรมส่งผลให้ ต๋องของเราตกรอบคัดเลือกในทันทีและผลพวงจากการตกรอบในครั้งนี้ทำให้คะแนนสะสมของต๋องในปีนี้ไม่ดีพอที่จะลงแข่งขันสนุ้กเกอร์อาชีพในปีหน้าด้วยเช่นกัน จนทำให้บุคคลที่เกี่ยวข้องหลายฝ่ายรวมถึงตัวของเขาเองบวกกับอายุที่มากขึ้นกอปรกับสายตาที่มีปัญหาอยู่ก่อนหน้านี้มาเป็นเวลานานแล้วทำให้ในใจผมรู้สึกหวั่นๆว่า ต๋องอาจจะตัดสินใจหันหลังให้กลับวงการสนุ้กเกอร์ที่เขารัก ผูกพันธ์และเล่นมาตั้งแต่เด็ก จนสามารถสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยมาอย่างมากมายจนครั้งหนึ่งเคยขึ้นไปอยู่สูงถึงอันดับที่สามของโลกมาแล้วเช่นกันเมื่อหลายสิบปีก่อน    ถึงตอนนี้ต้องอยู่ที่การตัดสินใจของต๋องแต่เพียงผู้เดียวแล้วครับว่าจะสู้ต่อไปหรือเลิกเล่นและหันไปถ่ายทอดวิชาให้กับบรรดาดาวรุ่งในประเทศแทน และแม้ว่าต๋องจะตัดสินใจเล่นต่อหรือเลิก แต่เชื่อว่าอย่างไรก็ตามชื่อของ ต๋อง ศิษย์ฉ่อย ก็ยังคงเป็นขวัญใจของแฟนกีฬาชาวไทยและถือว่าหนึ่งในวีรบุรุษและตำนานของวงการกีฬาบ้านเราต่อไปอย่างแน่นอน และที่สำคัญที่สุดเขาก็ยังเป็นฮีโร่ของผมเสมอครับบบบบบบ

นี่แหละ...หงส์แดง


ย่ำแย่แบบไม่มีคำบรรยายจริงๆครับกับผลงานของหงส์แดงกับการออกไปเยือนทีมเล็กๆอย่างบราก้าที่โปรตุเกสและโดนเจ้าถิ่นเบียดเอาชนะไปได้ 1-0 ในศึกยูโรป้า ลีคเมื่อคืนที่ผ่านมา

ดูรายชื่อนักเตะสิบเอ็ดตัวจริงที่เคนนี่ ดัลกริช จัดลงมาก็พอจะเดาได้ว่าพวกเขาคงจะเน้นการเล่นเกมแบบรัดกุมตามสไตล์การเล่นบอลยุโรปนัดแรกด้วยการเป็นทีมเยือน    คิง เคนนี่ใส่กองกลางลงมาแพ็คเกมแน่นถึงห้าคนเลยทีเดียวและห้อย เดิร์ค เค้าท์ เอาไว้ในแดนหน้าเพียงคนเดียว  แต่ลิเวอร์พูลก็มาพลาดเสียจุดโทษจากการฟาวล์แบบชัดเจนของคีร์เกียกอสจนนำซึ่งความปราชัยในนัดนี้ และต้องกลับไปวัดดวงในนัดที่สองที่แอนฟิลด์แบบไม่มีทางเลือก

แม้สกอร์ที่ออกมาจะดูไม่มากมาย แต่เมื่อเรามาดูถึงรูปแบบการเล่นในเกมนั้น แทบจะพูดได้แบบเต็มปากเลยว่าไม่ได้ลุ้นเลยสำหรับลิเวอร์พูล ต่อบอลสะเปะสะปะ ตำแหน่งการยืนของผู้เล่นในแดนกลางดูซ้อนกันไปหมดจนแทบไม่น่าเชื่อว่ามีกองกลางอยู่ถึงห้าคนในเกมนี้แต่ไม่สามารถเก็บบอลได้เลย บรรดากองหลังก็เอาแต่โยนยาวและไร้ซึ่งความแม่นยำจนแทบจะไม่เชื่อเลยว่านี่หรือคือทีมที่เพิ่งเอาชนะจ่าฝูงพรีเมียร์ชิพมา ความพ่ายพ้ในนัดนี้แสดงให้เห็นอีกครั้งนึงว่า หงส์แดงตัวนี้ขาดความสม่ำเสมอจริงๆ และคุณภาพของนักเตะตัวสำรองก็ไม่สามารถทดแทนผู้เล่นตัวหลักได้ จนเกิดความแตกต่างขึ้นอย่างชัดเจนจากเกมที่ชนะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดกับเกมนัดนี้  แม้ว่าจะอ้างได้ว่ามีผลจากการขาดซัวเรซและเจอร์ราร์ดแต่ก็ไม่น่าเชื่อว่าจะมีผลกระทบมากมายขนาดนี้

และจากผลงานไม่เอาอ่าวในเกมนี้คงจะทำให้คิง เคนนี่ ต้องหาทางแก้กันต่อไปทั้งเกมรุกและเกมรับ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะทำได้ดีขนาดไหนกับการรักษาอันดับในศึกพรีเมียร์และการคาดหวังเล็กๆจากแฟนบอลที่จะเห็นความสำเร็จในถ้วยใบเล็กของยุโรปเพื่อมาเป็นของขวัญปลอบใจในผลงานของทีมในปีนี้  ส่วนพวกเราแฟนหงส์ก็มีหน้าที่ทำได้แค่ให้กำลังใจและอยู่เคียงข้างทีมกันต่อไปครับ " YOU' LL NEVER WALK ALONE "

ปล....... Liverpool 4 Life........

Wednesday 9 March 2011

ไก่เดือยทองกับแชมเปี้ยนส์ ลีค


 ในที่สุดประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของสโมสร ไก่เดือยทอง ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ส ก็ถูกบันทึกขึ้นมาในยุคของแฮรี่ เร้ดแนปป์ เมื่อคืนวันที่ 9 มีนาคม 2554 ตามเวลา ณ กรุงลอนดอนประเทศอังกฤษ เมื่อเขาและพลพรรคนักเตะไก่เดือยทองร่วมแรงร่วมใจกันในสนามยันเสมออาคันตุกะจากแดนมะกะโรนี และเป็นอดีตแชมป์หลายสมัยในถ้วยใบนี้ไปได้แบบไม่มีสกอร์ ผ่านเข้าสู่รอบแปดทีมสุดท้ายได้เป็นครั้งแรกของสโมสรได้สำเร็จ

เริ่มต้นเกมในครึ่งเวลาแรก กลับเป็นทีมเยือนที่ดูจะครองบอลและมีโอกาสได้เสียวมากครั้งกว่าเจ้าถิ่น แต่ก็ยังไม่ชัดเจนมาก ส่วนเจ้าถิ่นผ่านไป 20 นาทียังดูเหมือนว่ายังตั้งเกมกันไมไ่ด้ โดยส่วนใหญ่จะเป็นการทำฟาวล์เพื่อเบรคเกมคู่ต่อสู้มากกว่า จะมีก็เพียงแค่ ฟาน เดอ ฟาร์ท เท่านั้น ที่ดูว่ายังพอเก็บบอลและจ่ายได้สวยๆหลายครั้ง ส่วนคนอื่นๆในแนวรุกดูไม่ค่อยมีบทบาทสักเท่าไร ทางฝั่งทีมเยือนวันนี้สองนักเตะเอซี มิลาน ที่ดูจะโดดเด่นกว่าคนอื่นในช่วงครึ่งเวลาแรกก็คือ คลาเรน ซีดอร์ฟและเควิน ปรินท์ บัวเต็ง ที่สามารถทำเกมและประสานงานกันได้อย่างดีทีเดียวในแดนกลาง แต่กองหน้าสามตัวอย่างปาโต้, โรบินโญ่ หรือแม้แต่อิบราฮิโมวิช ยังดูขาดๆเกินๆ ยังไม่ค่อยเห็นการประสานงานกัน จนทำให้จบครึ่งแรกไปแบบรูปเกมค่อนข้างเนือยพอสมควร

กลับมาครึ่งหลังรูปเกมของสเปอร์สดูดีขึ้นกว่าในครึ่งแรก แต่ก็ยังไม่มีโอกาสทำประตูแบบจะแจ้งเช่นเดียวกัน และดูเหมือนว่าพยายามจะเน้นบอลโด่งไปที่ปีเตอร์ เคร้าช์ มากขึ้นแต่กองหลังเอซี มิลานก็ยังรับมือได้อย่างสบาย ด้านทีมเยือนพยายามเร่งเกมรุกมากขึ้นเพื่อหวังเปิดสกอร์ขึ้นนำให้ได้แต่ก็ยังไม่สามารถฝ่าโซนเกมรับของไก่เดือยทองที่วันนี้ดูเน้นเกมรับมากกว่าปกติเข้าไปหาโอกาสแบบถนัดๆได้เลย แต่คลาเรน ซีดอร์ฟ ก็ยังเล่นได้อย่างโดดเด่นทั้งรุกและรับเหมือนเดิม จนผมต้องยกตำแหน่งแมน ออฟ เดอะ แมตช์ ให้เขาไปเลยทีเดียว ช่วงท้ายเกมแกเร็ธ เบลได้โอกาสลงสนามมาแทน ฟาน เดอร์ ฟาร์ท แต่ก็ไม่มีุอะไรเป็นชิ้นเป็นอันมากนัก จบเกมไก่เดือยทองยันเสมอทีมเยือนและผ่านเข้าสู่รอบต่อไปได้อย่างสวยงาม

เราต้องมาดูกันครับว่าไก่เดือยทองตัวนี้จะฝ่าด่านหินเข้าไปได้ไกลสักแค่ไหนในหน้าประวัติศาสตร์ของพวกเขาในเวทีแชมเปี้ยน ลีคครั้งแรกของสโมสร แต่อย่างไรก็ตามพวกเขาผ่านมาถึงจุดนี้ได้รวมถึงผลงานดับซ่าสองยอดทีมจากเมืองมิลานมาในรอบที่ผ่านมา ถ้าไม่ปรบมือให้ก็ดูจะใจร้ายเกินไปแล้วคร้าบบบบบบบ
                                                              

เมื่อปีศาจแดงดำพกความแค้นบุกรังไก่ถึงลอนดอน ความมันส์จึงบังเกิด

หลังจากนัดแรก "ไก่เดือยทอง" ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ โชว์ผลงานระดับมาสเตอร์พีชด้วยการบุกไปยัดเยียดความปราชัยให้กับเอซี มิลานถึงรังซาน ซิโร่ ด้วยสกอร์ 1-0 และนัดนี้ได้มีโอกาสกลับมาเปิดรังไวท์ ฮาร์ท เลนต้อนรับทีมดังจากแดนมะกะโรนี ที่หวังยกพลมาถลกหนังไก่เดือยทองถึงลอนดอนและผ่านเข้าสู่รอบต่อไป

ความพร้อมก่อนลงสนาม

เจ้าบ้าน ท็อตแน่มได้รับข่าวดีก่อนลงสนามคือ การคัมแบ๊คของแกเร็ธ เบลปีกตัวจี๊ดที่เรียกความฟิตกลับมาและพร้อมลงสนามเป็นตัวจริงในเกมนัดสำคัญในคืนนี้แล้ว ส่วนตำแหน่งอื่นๆเรียกได้ว่่าสมบูรณ์เลยทีเดียวสำหรับเจ้าถิ่น บรรดาตัวหลักอย่าง ฟาน เดอร์ ฟาร์ท, โมดริช, ปีเตอร์ เคร้าช์และตัวทีเด็ดจากนัดแรกอย่าง อารอน เลนน่อน ที่ได้พักมาจากเกมสุดสัปดาห์พร้อมลงสนามแบบไม่มีปัญหา ส่วนแนวรับยังคงเป็นชุดเดิมๆ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง โดยตำแหน่งตัวตัดเกม ปาลาซิออส จะรับหน้าที่นี้ไป และในนัดแรกก็โชว์ฟอร์มได้ดีมากเช่นเดียวกัน

ส่วนทีมเยือน รอสโซเนรี่ เกมนี้จะได้ ปาโต้ กลับมาจากอาการบาดเจ็บและพร้อมลงสนามจับคู่กับ ซลาตัน อิบราฮิโมวิช เพื่อล่าตาข่ายเจ้าถิ่นเช่นเดียวกัน ส่วนแดนกลางกัตตูโซ่ ติดโทษแบนสี่นัด จากการมีปัญหาในเกมนัดแรกและปิร์โล่ กองกลางคลาสสิคยังคงมีอาการบาดเจ็บ ทำให้แดนกลางตัวหลักเหลือแค่ ซีดอร์ฟและฟลามินี่ที่พร้อมสำหรับนัดนี้ จึงถือว่ามีปํญหาอยู่พอสมควรสำหรับเอซี มิลาน

รูปเกมที่น่าจะเกิดขึ้น

แม้ว่าเจ้าถิ่นจะมีสกอร์ตุนอยู่หนึ่งลูก แต่ก็จะชะล่าใจไม่ได้และจำเป็นต้องเล่นแบบระมัดระวัง และอาศัยทีเด็ดจากความเร็วของแนวรุกและบวกกับการสร้างสรรค์เกมของแกเร็ธ เบล, ฟาน เดอร์ ฟาร์ทและโมดริช ที่จะเป็นทีเด็ดในการย้ำชัย ด้านทีมเยือน แน่นอนว่านัดนี้ต้องมาบุกอย่างเต็มที่เพราะสกอร์ที่ตามอยู่หนึ่งลูก ความหวังชองทีมคงจะฝากไว้ที่สามประสาน ปาโต้ , ซลาตันและโรบินโญ่ และต้องระวังเกมโต้กลับของเจ้าถิ่นให้ดีด้วย ไม่งั้นมีสิทธิ์โดนสอยตาข่ายเหมือนในนัดแรก

ฟันธง

สเปอร์ส เล่นในบ้านคงจะเล่นเกมรุกเพื่อเอาใจแฟนๆ ส่วนทีมเยือนก็ต้องการประตูแรกเพื่อลดความกดดันเช่นกัน ทำให้รูปเกมน่าจะออกมาสนุก เปิดเกมรุกแลกกันตลอด ดังนั้นโอกาสที่สกอร์จะเกิดขึ้นหลายประตูก็มีเปอเซ็นต์สูงเช่นเดียวกัน  ส่วนสกอร์ที่น่าจะเป็นคือ 1-1, 2-2

ชาบู...ชาบู อาซูลกราน่า


เหมาะสมด้วยประการทั้งปวงครับสำหรับการผ่านเข้าสู้รอบแปดทีมสุดท้ายในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยน ลีค ของเจ้าบุญทุ่มหรือทีมต่างดาวที่เราคุ้นเคยกัน แม้ว่าจากการที่โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ โดนใบเหลืองที่สองแบบที่เรียกว่าไม่น่าจะโดน อาจจะเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่สื่อและท่านผู้ชมหลายๆคนเอามาวิเคราะห์กันว่าเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ส่งอาร์เซน่อลตกรอบไปแบบไม่ได้ลุ้น แต่เชื่อว่าแฟนบอลทั้งหลายที่ได้ติดตามชมการถ่ายทอดสดในนัดนี้ไปแล้ว คงจะเห็นแล้วรูปเกมนั้นทีมเยือนสู้เจ้าบ้านไม่ได้ทุกกระบวนท่าและไม่ได้ความลำบากใจให้เจ้าถิ่นเลย ชั้นเชิงของนักเตะเจ้าถิ่นทุกคนอยู่ในระดับสูงและแสดงให้เห็นว่าดาวรุ่งอาร์เซน่อลกระดูกบอลและประสบการณ์ยังห่างจากนักเตะระดับเขี้ยวลากดินของเจ้าถิ่นอยู่หลายช่วงตัวนัก ตามสกอร์และรูปเกมที่่ออกมา

รูปเกมแบบวันเวย์ตลอดทั้งเกมแสดงให้เห็นว่าเวลาที่นักเตะบาร์เซโลน่าตั้งใจเล่นและเล่นเกมรุกแบบเต็มตัวนั้นน่าสยดสยองขนาดไหน และคำขู่และการข่มขวัญของนักเตะบาร์เซโลน่าที่มีต่อนักเตะอาร์เซน่อลก่อนที่เกมจะเริ่มขึ้นก็ไม่ได้เป็นเรื่องโกหกหรือเป็นการเล่นเกมจิตวิทยาของเจ้าถิ่นแต่อย่างใด การเล่นเกมรุกของบาร์เซโลน่ายังเน้นการเคาะบอลแบบสั้นๆ เท้าต่อเท้าด้วยความแม่นยำและรวดเร็วบวกกับความสามารถเฉพาะตัวในระดับซือแป๋ยังเรียกพี่ของนักเตะระดับโลกอย่าง เมสซี่, บีย่า, อิเนสต้า, ชาบี หรือแม้แต่เปโดร ทำให้รูปเกมออกมาเป็นอย่างที่เห็น  กองกลางขั้นเทพอย่างชาบีและอิเนสต้าแสดงให้เห็นถึงความเป็นระดับโลกอย่างชัดเจน ทั้งการจ่ายบอล ครองบอล ความเจนจัดและความเข้าใจในเกมที่มีสูงจริงๆ ทำให้บรรดาดาวรุ่งของเดอะ กันเนอร์สได้แต่วิ่งไล่บอลอย่างเดียวแต่ไม่สามารถแย่งได้เลย และเปอร์เซ็นต์การครองบอลที่ออกมาแตกต่างกันอย่างลิบลับ แม้อาร์เซน่อลจะพยายามเล่นเกมโต้กลับอย่างเต็มที่แล้ว แต่ก็โดนนักเตะเจ้าถิ่นที่อาศัยประสบการณ์และความเก๋าเกม ตัดเกมและแย่งบอลได้ตลอด และประตูแรกที่ทำให้พวกเขาคลายความกดดันไปได้ท้ายครึ่งแรกก็มาจากความสามารถเฉพาะตัวของ เมสซี่ ล้วนๆ ที่บรรจงตักบอลข้ามอัลมูเนียก่อนที่จะวอลเล่ย์เข้าไปแบบง่ายๆ และต้นครึ่งหลังแม้ว่าอาร์เซน่อลจะได้ประตูตีเสมอแบบโชคช่วยจากการทำเข้าแระตูตัวเองของ เซคิโอ บุสเก็ตต์ แต่พลพรรคอาซกราน่าก็ยังนิ่งและยังเดินเกมบุกตามเดิมจนทำให้สกอร์ออกมาขาดลอยในช่วงท้ายเกมและมีโอกาสจะไหลไปมากกว่านี้ ถ้าวันนี้อัลมูเนียนายทวารตัวสำรองไม่โชว์ซูเปอร์เซฟอย่างที่เห็น จบเกมบาร์เซโลน่าถล่มอาร์เซน่อลไปแบบบอลคนละชั้นด้วยสกอร์ 3-1 และผ่านเข้าสู่รอบต่อไปแบบสวยงาม

หลังจากนี้ก็ต้องมาติดตามกันละครับว่าโคตรทีมพ.ศนี้อย่าง บาร์เซโลน่า จะไปได้ไกลขนาดไหนในถ้วยใบนี้และใครจะเป็นเหยื่อรายต่อไปของพวกเขาในรอบต่อๆไป

Tuesday 8 March 2011

วิเคราะห์วิจารณ์บิ้กแมตช์ บาร์เซโลน่า พบ อาร์เซน่อล

เกมนี้บาร์เซโลน่าจะได้กลับมาเปิดรังคัมป์นูเพื่อรับการมาเยือนของไอ้ปืนใหญ่บ้างหลังจากนัดแรกบุกไปโดนอาร์เซน่อลเชือดหวุดหวิด 2-1 ทั้งๆที่รูปเกมไม่ได้เป็นรอง แต่เกมนี้ได้กลับมาเล่นในบ้านเพื่อล้างแค้นอาร์เซน่อลและชัยชนะหนึ่งประตูก็สามารถทำให้พวกเขาก้าวเข้าสู่รอบต่อไปและเป็นใบเบิกทางสู่ตำแหน่งแชมป์อย่างที่กุนซือหนุ่มไฟแรงอย่าง เป๊ป กวาร์ดิโอล่า กล่าวไว้ก่อนเกมนัดนี้จะเริ่มขึ้น

ความพร้อมของทั้งสองทีม

เจ้าถิ่น บาร์เซโลน่า นัดนี้ต้องขาดสองเซนเตอร์ฮาล์ฟตัวหลักไปพร้อมๆกันอย่าง ปูโยลและปิเก้ จากอาการบาดเจ็บและติดโทษแบนตามลำดับ ทำให้กาเบรียล มิลิโต้อาจจะต้องลงมาจับคู่กับ เอริค อบิดัล ในตำแหน่งเซนเตอร์ฮาล์ฟ แม้รายงานข่าวจากสเปนหลายสำนักประโคมข่าวว่าอาจจะถอย เซคิโอ บุสเก็ตต์ กองกลางตัวรับไปยืนในตำแหน่งปราการหลังตัวกลางและใส่ชื่อของ มาสเคราโน่ ซึ่งโชว์ฟอร์มได้ดีในนัดที่แล้วลงเล่นแทนในตำแหน่งกลางรับ ส่วนแนวรุกยังอยู่กันพร้อมสำหรับ ชาบี, อิเนสต้า ที่ได้พักมาจากเกมลาลีกาก็จะกลับมาทำเกมรุกได้ไม่มีปัญหา, บีย่า, เปโดรและเมสซี่ ซึ่งนัดนี้ได้กล่าวเตือนบรรดานักเตะทีมเยือนไปแล้วว่า ถ้าไม่ปึ้กมีหวังได้เป็นแบบปีที่แล้วที่พบกันอย่างแน่นอน

ด้านทีมเยือนผลงานถือว่าไม่ค่อยสม่ำเสมอในระยะหลัง นัดล่าสุดทำได้เพียงเสมอกับทีมอย่างซันเดอร์แลนด์ทั้งๆที่ได้เล่นในบ้าน ทำโอกาสในการทำแต้มไล่แมนยูไนเต็ดหลุดลอยไปอีกครั้ง แต่นัดนี้อาจจะมีข่าวดีเมื่อนักเตะแกนหลักอย่าง ฟาน เพอร์ซี่, ฟาเบรกัส หรือ วัลคอตต์ อาจจะมีส่วนร่วมกับเกมนัดนี้ ส่วนจะเป็นสิบเอ็ดคนแรกหรือไม่นั้น ต้องรอดูการตัดสินใจของอาแซน เวนเกอร์ นายใหญ่ชาวฝรั่งเศส นัดนี้อาเซร์น่อลจะไม่มี อเล็กซ์ ซงในตำแหน่งกองกลางตัวทำลายเกม แต่สำหรับวิลเชียร์ไม่น่าจะมีปัญหาในการลงสนาม ส่วนฟาเบรกัสมีเปอร์เซ็นสูงที่จะกลับมาคุมเกมร่วมกับวิลเชียร์เพื่อทำลายเกมกลางสนามของเจ้าถิ่น ในแนวรุกจะเป็นหน้าที่ของ อาร์ชาวินและมีนาสรี่เป็นตัวทีเด็ดในเกมสวนกลับ ส่วนหน้าเป้านิคลาส เบนด์เนอร์หรือชามัคห์ จะได้ลงสนามคนใดคนหนึ่ง

รูปเกมตามคาด

บาร์เซโลน่าขาดกองหลังตัวหลักไปพร้อมกันถึงสองคนทำให้เกมรับมีปัญหาแน่นอน เพราะแกนรุกส่วนใหญ่ของทีมเยือนมีความเร็วและเทคนิคดีทั้งนั้น ยิ่งถ้ากวาร์ดิโอร่า ถอยบุสเก็ตต์ลงมายืนเซนเตอร์จริงๆ น่าจะทำให้กองเชียร์เจ้าถิ่นออกอาการเสียวกันแน่นอน เพราะถึงแม้ว่าบุสเก็ตต์ จะมีเบสิคและครองบอลได้ดี แต่เขาก็ไม่น่าจะปรับตัวให้เข้ากับตำแหน่งนี้ได้ดีเท่าเซนเตอร์แบ็คอาชีพแน่นอน จึงทำให้ผมคาดว่าเป๊บคงไม่น่าจะเสี่ยงกับแผนนี้ คงจะส่งกองหลังอาชีพลงไปมากกว่า แล้วค่อยไปฝากความหวังในการทำสกอร์ของแนวรุกของพวกเขามากกว่า โดยรูปเกมนัดนี้บาร์เซโลน่าจะเป็นฝ่ายครองบอลและค่อยๆทำเกมรุกใส่อาร์เซน่อลด้วยลูกเคาะสั้นๆตามช่องตามสไตล์ถนัดและอาศัยทีเด็ดของเมสซี่ การพลิกบอลของบีย่าและอิเนสต้า รวมถึงบอลตามช่องของชาบีที่กองหลังอาร์เซน่อลต้องมีสมาธิตลอดทั้งเกมไม่งั้นมีหวังโดนเจ้าถิ่นสอยร่วงได้ ไอ้ปืนใหญ่ถึงแม้ว่าจะออกมาประกาศแล้วว่าจะเล่นเกมรุกตามถนัดเช่นกันและจะไม่ลงไปเล่นเกมรับกับบาร์เซโลน่าอย่างแน่นอนแม้ว่าจะรู้ถึงพิษสงของเจ้าบ้านเป็นอย่างดี  แต่ความน่าจะเป็นในเกม บอลน่าจะถูกควบคุมโดยเจ้าถิ่นซะมากกว่าและบรรดานักเตะทีมเยือนก็คงต้องรอโอกาสสวนกลับอย่างใจเย็นและใช้โอกาสให้คุ้มที่สุด และก็ถือว่ามีลุ้นอยู่เหมือนกันเพราะอย่างที่รู้ๆกันว่าเจ้าบุญทุ่มมีปัญหากับกองหลังในนัดนี้และยิ่งถ้าได้ฟาน เพอร์ซี่กลับมาจริงๆ น่าจะทำให้กองหลังบาร์เซโลน่ามีปัญหาได้เหมือนกัน แต่เชื่อว่ายังไงเกมในค่ำคืนนี้สนุกแน่นอน และเราจะได้เห็นการเล่นบอลเกมรุกแบบสวยงามและตั้งใจสร้างสรรค์จากบรรดาแข้งเทพทั้งหลายของบาร์เซโลน่ากันอีกครั้ง และโอกาสที่สกอร์จะเกิดขึ้นมากมายในเกมนี้ก็ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดเพราะธรรมชาติเป็นบอลเกมรุกทั้งคู่และกองหลังก็มีปัญหาพอๆกัน ทำให้เชื่อว่าเกมนัดนี้คุ้มค่ากับการอดนอนแน่นอนครับ

ฟันธง

บาร์เซโลน่า 3 อาร์เซน่อล 1

Sunday 6 March 2011

หงส์..แดงเดือด...!!!


ก็ผ่านพ้นไปเรียบร้อยสำหรับศึกแดงเดือดครั้งที่สามในฤดูกาลนี้พร้อมกับชัยชนะในแบบภาษาฟุตบอลว่า บอลคนละชั้นของ "หงส์แดง" ลิเวอร์พูลเหนือคู่ปรับตลอดกาลอย่าง "ปีศาจแดง" แมนเชส เตอร์ ยูไนเต็ด ในช่วงบ่ายวันอาทิตย์ที่สดใส ณ สนามแอนฟิลด์ในเมืองลิเวอร์พูล

นัดนี้ทั้งคิง เคนนี่และท่านเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน จัดผู้เล่นชุดที่สมบูรณ์ที่สุดของทั้งสองทีมลงสนาม ทางฝั่งเจ้าถิ่นใส่ชื่อของ แอนดี้ คาโรลล์ไว้ที่ม้านั่งสำรอง ส่วนทีมเยือนส่ง เวส บราวน์ลงมาจับคู่กับ คริส สมอลลิ่ง แทนที่ของเนมานย่า วิดิช ที่ติดโทษแบน

ในช่วงสิบห้านาทีแรก เป็นเจ้าถิ่นที่ใช้แท็คติคเดิมๆในช่วงหลายปีหลังคือ เข้าบีบบอลเร็ว และ เน้นการจ่ายบอลแบบแน่นอน เพื่อไม่ให้กองกลางของแมนยู ได้มีโอกาสตั้งเกม และก็ถือว่านักเตะหงส์แดงทำหน้าดีได้อย่างดีเยี่ยมและเล่นได้ตามแผน โดยเป็นฝ่ายครองบอลและบุกกดดันทีมเยือนอย่างต่อเนื่อง ทำให้แนวรุกของปีศาจแดงอย่างนานี่, รูนี่ย์และเบอร์บาตอฟ มีบทบาทในเกมน้อยมาก โดยโอกาสใกล้เคียงที่สุดของทีมเยือนมาจากการยิงแบบเอามันของเบอร์บาตอฟนอกกรอบเขตโทษ ซึ่งบอลชนเสานอกออกไปแบบได้ลุ้นเหมือนกัน

ในท้ายครึ่งแรกความพยายามของเจ้าถิ่นก็ประสบผลสำเร็จ โดยประตูนี้ต้องให้เครดิตไปเต็มๆ สำหรับ "หม่อมเหยิน" หลุยส์ ซัวเรซ  ที่ใช้ความสามารถเฉพาะตัวล็อกหลบผู้เล่นของทีมเยือนถึงสามคนในกรอบเขตโทษก่อนที่จังหวะสุดท้ายจะยิงแปบอลผ่าน ฟาน เดอ ซาร์ไปแล้วและเดิร์ค เค้าท์ตามมาซ้ำเพื่อความแน่ใจทำให้เจ้าถิ่นที่วันนี้ดุคึกคักเป็นพิเศษขึ้นนำไปก่อน และหลังจากนั้นไม่นานลิเวอร์พูลก็มาได้ประตูที่สองจากความผิดพลาดของนานี่ ซึ่งโหม่งสกัดบอลผิดเหลี่ยมทำให้บอลมาเข้าทางของ เค้าท์โขกเข้าไปแบบจ่อๆ น้าซาร์หมดสิทธิ์ สกอร์ขยับเป็น 2-0 อย่างรวดเร็ว

ถึงแม้ว่าจะนำอยู่สองลูกแต่เจ้าถิ่นก็ยังเป็นฝ่ายคุมเกมเอาไว้ได้เกือบหมดโดยเฉพาะซัวเรซที่ดูโดดเด่นมาก ทั้งขยันไล่บอล และอาศัยความเร็วพาบอลเข้าไปกดดันกองหลังทีมเยือนได้ตลอด ส่วนทีมเยือนยังเล่นกันผิดพลาดและดูเหมือนว่ายังตั้งเกมไม่ได้โดยเฉพาะไมเคิ่ล คาร์ริค ซึ่งหายไปจากเกมและดูเหมือนว่าจะทับตำแหน่งกับพอล สโคลส์ด้วย ช่วงท้ายเกมทั้งสองทีมมีการปะทะกันแบบรุนแรงจนนานี่บาดเจ็บเล่นต่อไม่ไหวโดยเปลี่ยนตัวออกไป และเกมจบครึ่งแรกไปด้วยสกอร์นี้

ครึ่งหลังดูเหมือนว่าเซอร์ อเล็กซ์ จะปรับแท็คติคโดยถ่าง รูนี่ย์ ออกมาทางริมเส้นด้านซ้ายเพื่อทำเกมบุกกดดันกองหลังเจ้าถิ่น และถือว่าช่วงต้นครึ่งหลังทีมเยือนบุกกดดันได้ดี โดยเจ้าถิ่นดูเหมือนว่าจะเน้นตั้งรับมากเกินไปสำหรับการพบกับทีมอย่างผีแดง หลังจากบุกอยู่ในช่วงสิบนาทีแรกในครึ่งหลังแต่ก็ยังไม่ได้ประตู จากนั้นเกมก็กลับมาเจ้าถิ่นเหมือนเดิม จนกระทั่งมาได้ประตูตอกย้ำชัยชนะอย่างเด็ดจากแฮตทริคของเดิร์ค เค้าท์ที่ตามไปซ้ำลูกยิงของซัวเรซ ที่ฟาน เดอร์ ซาร์ปัดกระฉอกออกมาอย่างเด็ดขาด จากนั้นเกมก็ดูเนือยๆลงไป แต่คิง เคนนี่ ก็ทำให้บรรยากาศการเชียร์ของเดอะ ค็อปมีพลังยิ่งขึ้นเมื่อส่ง เจ้ายักษ์ คาโรลล์ลงสนามมาแทน เมเรเลส ซึ่งดูหมดแรงไปในช่วงท้ายๆ แต่ก็ต้องมาโดนตีไข่แตกจนได้จากการโหม่งของ ชิชาร์ริโต้ โดยที่ไม่มีคนประกบ ถือว่าลูกนี้กองหลังเจ้าถิ่นเสียสมาธิแบบชัดเจน แต่ก็ไม่มีปัญหาจบเกมลิเวอร์พูล ถล่มอริตลอดกาลไปแบบฟอร์มขั้นเทพด้วยสกอร์ 3-1 

วิเคราะห์เจาะลึก

นัดนี้คิง เคนนี่ วางแท็กติคมาตามคาด เมื่อสั่งให้ลูกทีมเข้าบีบบอลเร็วและเข้าถึงตัวทุกจังหวะ ไม่ปล่อยให้แนวรุกทีมเยือนได้มีเวลาครองบอลนานและก็ได้ผลอย่างชัดเจน ทำให้เกมรุกของทีมเยือนไร้พิษสงไปเลย กองกลางสามตัวทั้ง ลูคัส, เมเรเลสและเจอร์ราร์ด ถือว่าเข้ากันได้ดีทั้งเกมรับและรุก ส่วนแนวรุกถือว่า ซัวเรซ สอบผ่านไปแบบสบายๆ มีความเร็ว ทักษะและเล่นด้วยความมั่นใจ กดดันกองหลังทีมเยือนได้ตลอดทั้งเกม และเป็นขวัญใจคนใหม่แทนที่ ตอร์เรสไปเรียบร้อยแล้ว ทีมเยือนนัดนี้ถือว่าทำผลงานได้อย่างน่าผิดหวัง แผงมิดฟิล์อย่างพอล สโคลส์ที่ไม่สามารถปั้นเกมได้เลยและโดยเฉพาะคาร์ริค ที่ไม่มีบทบาทในเกมเลยตลอดทั้งเกม ตัวความหวังอย่างรูนี่ย์ไม่สามรถสร้างจังหวะหวาดเสียวให้กับทีมได้เลย รวมทั้งการบาดเจ็บของนานี่ก็เลยทำให้เกมบุกทางริมเส้นซึ่งเป็นทีเด็ดของแมนยูมาตลอดเป็นอัมพาตส่งผลให้กองหลังเจ้าถิ่นเล่นกันอย่างสบาย และการขาดวิดิชไปก็ถือว่ามีผลกระทบอย่างชัดเจน ตัวแทนอย่างเวส บราวน์ไม่สามารถลงมาทำผลงานได้ในระดับที่น่าพอใจได้ ทำให้เกมขาดไปตั้งแต่จบครึ่งแรก 

ชัยชนะของหงส์แดงในนัดนี้ก็เป็นชัยชนะที่สวยงามนัดหนึ่งหรืออาจจะเรียกได้ว่าสวยงามที่สุดในฤดูกาลนี้จากที่ผ่านมาก็ว่าได้ แต่ปัญหาเดิมๆก็คือ พวกเขาไม่สามารถรักษาระดับการเล่นให้มีมาตรฐานและสม่ำเสมอได้แบบทีมอย่าง เชลซี,แมนยู, อาร์เซน่อล หรือแม้กระทั่งสเปอร์สที่ดูเหมือนว่ามาตรฐานการเล่นจะแซงหน้าลิเวอร์พูลไปแล้วตอนนี้ ส่วนโปรแกรมที่เหลือในฤดูกาลนี้ก็แค่ทำผลงานให้ดีที่สุดรักษาอันดับเพื่อไปเล่นบอลยุโรป้าและต้องยอมรับว่าความหวังทำอันดับไปแชมเปี้ยนลีคในฤดูกาลนี้คงจะไกลเกินเอื้อมไปแล้ว แต่ในฤดูกาลหน้าถ้า คิง เคนนี่ ยังได้รับความไว้วางใจให้ทำหน้าที่ ผจก ทีมต่อไป ผมเชื่อแน่ว่าฤดูกาลหน้าสาวกหงส์แดง คงจะมีความหวังที่จะเห็นทีมกลับมาผงาดได้อีกครั้ง ในเมื่อพวกเขามีกุนซือที่มีครบทั้ง ประสบการณ์, ความเข้าใจในเกม, การจัดแท็คติคและที่สำคัญที่สุดคือ บารมี ซึ่งทำให้กองเชียร์และนักเตะในทีมพร้อมแล้วที่จะก้าวไปพร้อมกับชายคนนี้ที่ชื่อ " เคนนี่ ดัลกลิช "







Saturday 5 March 2011

Before the kick off

เชื่อเหลือเกินว่าใครที่สถาปนาตัวเองขึ้นมาว่าเป็นแฟนฟุตบอลอังกฤษ คงจะตั้งหน้าตั้งตารอศึกนัดแดงเดือดระหว่างคู่ปรับตลอดกาล " หงส์แดง " ลิเวอร์พูล พบ " ปีศาจแดง " แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดซึ่งมีคิวระเบิดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 6 มีนาคมนี้ ที่สนามแอนฟิลด์อย่างใจจดใจจ่อ...ก่อนเกมจะเริ่มขึ้นสำนักข่าวต่างๆก็มีการขุดคุ้ยประเด็นเพื่อสร้างบรรยากาศและความเร้าใจก่อนชมเกมนัดสำคัญมาต่างๆนา ทั้งเรื่องการประเดิมสนามของ แอนดี้ คาโรลล์หัวหอกร่างยักษ์ รวมทั้งการเดาใจเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสันว่าจะจัดใครลงมาเล่นในตำแหน่งปราการหลังตัวกลางทดแทนวิดิช ซึ่งจะโดนแบนในนัดนี้ หรือแม้กระทั่งมีการวิเคราะห์กันว่า นักเตะหงส์แดงคงใส่กันเต็มสูบเพื่อขัดขวางไม่ให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเถลิงบัลลังก์แชมป์ครั้งที่ 19 และแซงหน้าพวกเขาขึ้นไปสร้างสถิติใหม่ในทันที...ณ จุดนี้ เชื่อเหลือเกินว่าไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์แบบใด ศึกนัดนี้เป็นเรื่องของศักดิ์ศรีของทั้งสองสโมสร ซึ่งประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษ ทั้งสองทีมต่างมองไปที่การเป็นผู้ชนะในสนามเท่านั้น  ส่วนเรื่องอื่นถือว่าเป็นเรื่องของโชคชะตา

นัดนี้อย่างที่เรารู้ๆกันว่าทางฝั่งของผู้มาเยือนจะขาดเซนเตอร์ฮาล์ฟตัวหลักอย่าง เนมานย่า วิดิช หลังจากนัดที่แล้วโดนใบแดงในช่วงทดเวลาเจ็บที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ และท่านเซอร์ก็เปรยๆว่าแล้วว่าอาจจะใส่ชื่อของ เวส บราวน์ ปราการหลังจอมเหวอลงยืนคู่กับ คริส สมอลริ่ง ซึ่งช่วงหลังได้ลงสนามอย่างต่อเนื่องแทนริโอ เฟอร์ดินานด์ ซึ่งบาดเจ็บยาว ส่วนตำแหน่งอื่นๆนักเตะส่วนใหญ่พร้อมลงสนาม ขึ้นอยู่กับว่าท่านเซอร์จะให้แท็คติกและวางแผนมาอย่างไร ซึ่งต้องไปเดาใจเซอร์อเล็กซ์กันเอาเอง ส่วนในทรรศนะของผม เดาว่าเซอร์คงจะเน้นให้ลูกทีมเน้นการครองบอล จ่ายบอลแน่นอนและรอสวนกลับ รวมถึงลูกเซตพีช ต่างๆ ส่วนคีย์แมนของทีมเยือนก็คงจะหนีไม่พ้นนานี่ และ เวย์น รูนี่   นานี่ซึ่งในซีซั่นนี้โชว์ฟอร์มได้สม่ำเสมอทั้งการทำประตูและแอสซิสต์ ได้อย่างต่อเนื่องและแน่นอนในนัดนี้เกมสวนกลับของยูไนเต็ดจะฝากความหวังไว้ที่เขาเป็นหลัก ส่วนคู่ขาเวย์น รูนี่ เป็นไปได้ทั้งเบอร์บาตอฟและชิชาริโต้ คนแรกทำแฮตทริกได้ในนัดแรกที่เจอกัน ส่วนชิชาริโต้ ฟอร์มกำลังฮอต เรียกได้ว่าเกือบฟูลทีมขาดไปแค่ วิดิช เท่านั้น ซึ่งจุดที่น่าสนใจของแมนยู ก็คงหนีไม่พ้นตำแหน่งคู่เซนเตอร์ซึ่งจะทำได้ดีแค่ไหนในการมาเยือนแอนฟิลด์ ถ้าทำได้ตามมาตรฐานหรือใกล้เคียงกับที่ผ่านๆมา ก็ถือว่าสอบผ่าน

ทางฝั่งเจ้าถิ่นหงส์แดงต้องรอลุ้นความฟิตของศุนย์หน้าร่างโย่ง แอนดี้ คาโรลล์ ว่าจะพร้อมลงสนามหรือไม่ แต่ยังไงก็น่าจะมีชื่ออยู่ในทีมแน่นอน ส่วนตำแหน่งอื่นๆ มาร์ติน เคลลี่ บาดเจ็บยาวจากนัดที่แพ้เวสแฮม อาจจะทำให้ เกล็น จอห์นสัน ได้กลับมาเล่นในตำแหน่งถนัดอีกครั้ง ส่วนด้านซ้ายอาจจะได้ ออเรลิโอ กลับมาทันเวลา กลางสนามก้อคงจะเป็นสามตัวหลัก ลุคัส, เจอร์ราร์ดและเมเรเลส ทิ้งหน้าคู่ เค้าท์กับ ซัวเรซ ตามเดิม รูปเกมของเจ้าถิ่น ก็คงจะเน้นเกมบุกเป็นหลัก แต่ก็คงจะไม่รีบร้อนผลีผลาม โดยพึ่งบอลทะลุของ เจอร์ราร์ดกับเมเรเลส แล้วอาศัยความเร็วของซัวเรซในการทำประตู

ทรรรศนะ

รูปเกมในนัดนี้ ทั้งสองทีมก็คงจะเน้นการครองบอลเป็นหลักในช่วงแรก และอาศัยกองกลางเข้าบีบเกมเร็ว เพื่อไม่ให้คู่ต่อสู้มีเวลาครองบอลนาน โดยหงส์แดงก็น่าจะเน้นแท็คติคเดิมๆจากหลายๆปีที่ผ่านมาคือ พยายามตัด รูนี่ ออกจากเกมหรือให้มีบทบาทน้อยที่สุด รวมถึงปีกตัวจี๊ดอย่างนานี่และเน้นการป้องกันลูกเซตเพลย์ด้วย และอาศัยความเร็วของกองหน้า เข้ากดดันแนวรับที่มีปัญหาของทีมเยือน และทีเด็ดจากลูกยิงแถวสองของ เจอร์ราร์ดและเมเรเลส เป็นทีเด็ด

แดงเดือดนัดนี้น่าจะออกมา เสมอแบบมีสกอร์ แต่ถ้าจะมีผู้ชนะขอเอียงไปทางเจ้าถิ่น 1-1, 2-0

Friday 4 March 2011

หงส์แดงที่บลูมฟิลด์ โร้ด

ผ่านพ้นกันไปอีกเกมครับ พร้อมกับความพ่ายแพ้นัดที่ 10 แบบไม่มีข้อแก้ตัวของอดีตทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดทีมหนึ่งในเกาะอังกฤษ
ท่านผู้ชมท่านใดที่ได้มีโอกาสรับชมเกมถ่ายทอดสดระหว่าง น้องใหม่ เดอะ ซีไซเดอร์ แบล็คพูล พบกับ หงส์แดง ลิเวอร์พูล เมื่อคืนนี้ จะเห็นได้ว่า คิง เคนนี่ ที่มีโอกาสได้รับความไว้วางใจจากประธานสโมสรคนใหม่และแรงผลักดันจากเดอะ ค็อป ผู้เรียกร้องให้อดีตนักเตะและกุนซือผู้ยิ่งใหญ่ของพวกเขากลับมารับหน้าที่ผู้จัดการทีมต่อจาก รอย ฮ็อดจ์สัน ผู้ร้ายในสายตาเดอะ ค็อป จัดผู้เล่น 11 ตัวจริงแบบไม่คุ้นสายตาแฟนบอลพอสมควร แต่ในทางกลับกันก็แสดงให้เห็นว่าเขากล้าที่จะเปิดโอกาสให้กับนักเตะที่ไม่ค่อยได้รับโอกาสมากนักในยุคของ รอย ฮ็อดจ์สัน ลงสนามพร้อมกันถึง สามคน ได้แก่ มาร์ติน เคลลี่ ในตำแหน่งแบ็กขวา คริสเตียน โพลเซ่นในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวกลาง และเหนือการคาดหมายของแฟนบอลทุกคนคือ โยวาโนวิช ออกสตาร์ทในตำแหน่งปีกซ้ายที่แทบจะถูกลืมในยุคของ รอย ฮ็อดจ์สัน
และในม้านั่งสำรองไร้เงาของ บาเบล และโจ โคล ส่วน สตีวี จี ติดโทษแบน จากเกมเอฟเอคัพที่แพ้ แมนยู เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา

นัดนี้หงส์แดงออกสตาร์ทได้อย่างคึกคักและขึ้นนำ อย่างรวดเร็วจาก เอล นินโญ่ เฟร์นานโด ตอร์เรส ที่รับบอลจากการจ่ายของ เคลลี่ และยิงแสกหน้าผู้รักษาประตูแบล็คพูลเข้าไปอย่างสวยงาม จนเดอะ ค็อปทั้งหลายอดคิดไม่ได้ ตอร์เรส คนเดิมได้กลับมาแล้ว และ กองเชียร์หงส์แดงที่ตามมาเชียร์กันหลายพันคน เฮฮากันอย่างสุดเหวี่ยง คึกคัก ซึ่งเราไม่เคยเห็นกันมานานโดยเฉพาะในยุคของ ป๋ารอย

แต่หลังจากนั้นเกมของหงส์แดงที่นัดนี้ เห็นได้ชัดว่าพยามยามเน้นการเคาะบอลสั้นๆ แต่ยังหาความแน่นอนไมได้ ก็ต้องสังเวยประตูตีเสมอไปอย่างง่ายดาย ตามสไตล์หงส์แดง เมื่อ ราอูล เมเรเลส ซึ่งนัดนี้จ่ายบอลผิดพลาด ตลอดทั้งเกม เสียบอลตรงกลางสนาม และผู้เล่นแบล็คพูล ฉวยโอกาสนี้ไว้ได้ เมื่อแกรี่ เทเลอร์ เฟล็ทเชอร์ได้บอลตามช่องจากเพื่อนร่วมทีม หลุดทะลุเข้าไปในกรอบเขตโทษ และล็อกบอลตามสูตร หลบแอกเกอร์ ที่เข้าพรวดและเลือกแปบอลผ่าน เรน่า ไปแบบสบายๆ นำแบล็คพูลกลับสู่เกมอย่างรวดเร็ว

เกมของหงส์แดงยังไม่ค่อยได้ลุ้นอะไรมากนัก เพราะกองกลางยังเก็บบอลไมได้ ทั้งลูคัส เมเรเลส และ โพลเซ่น ซึ่งทั้งสามคนนี้ช้ากว่านักเตะแบล็คพูลพอสมควร โดยเฉพาะชาลี อดัมส์ ซึ่งนัดนี้แสดงให้เห็นแล้วว่า ทำไมถึงมีข่าวออกมาก่อนเกมว่า เคนนี่ สนใจที่จะดึงเขามาร่วมงานในถิ่นแอนฟิลด์ ชาลี คุมเกมตรงกลางสนามไว้ได้หมด บอลสั้น ยาว ของเขาแม่นยำ จนมิดฟิลด์ของลิเวอร์พูล ไม่สามารถตัดได้เลย จะมีก็แต่ ตอร์เรส ที่ดูพยายามและตั้งใจที่จะเรียกฟอร์มเดิมๆ กลับมาแต่ก็ไม่ได้รับการสนับสนุนของเพื่อนร่วมทีมมากนัก

ช่วงท้ายครึ่งแรกแบล็คพูลเป็นฝ่ายคุมสถานการณ์ทุกอย่างในสนามไว้ได้หมด กลับเป็นฝ่ายลิเวอร์พูลเอง ที่เล่นผิดพลาดกันไปหมด จ่ายบอลขาดๆเกินๆ บอลยาวไม่มีความแม่นยำ และ ดูหงุดหงิดจากการตัดสินของผู้ตัดสินในบางจังหวะด้วย ผิดกับแบล็คพูลที่แม้ว่าจะเน้นการวางบอลยาวไปที่ปีกทั้งสองข้าง และ กองหน้า แต่บอลยาวของพวกเขากลับมีความแม่นยำ และมีเป้าหมาย กองหน้าเก็บบอลได้หมด เอาชนะกองหลังลิเวอร์พูลได้ตลอด จนทีมเยือนไม่มีโอกาสที่จะโตกลับเลย จนเปอร์เซ็นการครองบอลของทั้งสองทีมช่วงก่อนหมดครึ่งแรก ห่างกันอย่างลิบลับ


เกมครึ่งหลังเปิดมาก็ยังเป็นแบล็คพูลที่เล่นได้แน่นอนกว่าทีมเยือนโดยตลอดจนกระทั่งมาได้ประตูที่สองจากการโขกโล่งๆ ไร้คนประกบของ ดีเจ แคมเบลล์ ซึ่งนัดนี้โชว์ฟอร์มได้วูวาบ จี๊ดจ๊าดเหลือเกิน ทางริมเส้นด้านขวาของเจ้าถิ่น
รูปเกมยังคงเดิมๆ เจ้าถิ่นยังคุมเกมเอาไว้ได้หมดจนกระทั่ง คิง เคนนี่ ทำการแก้เกมด้วยการส่ง จอนโจ เชลวีย์ ที่มีโอกาสได้ลงสนามเป็นตัวสำรองสองนัดติดต่อกัน และดูเหมือนเคนนี่จะโปรดปรานเป็นพิเศษ มาแทน เดิค เค้าท์ ซึ่งนัดนี้ทำอะไรไมได้ออกไป แต่เกมก็ยังไม่ได้ลุ้นอะไร จน ดาวิด เอ็นก็อก ตัวสำรองอีกคนได้โอกาสลงสนามมาในช่วงท้ายเกม แต่ก้อยังไม่เป็นผล เพราะนัดนี้แบล็คพูล เล่นได้ตามแผนและทุกคนโชว์ฟอร์มได้ดีเหลือเกิน
จนกล้องจับไปที่ เคนนี่ ดัลกริช และผู้ช่วยสตีฟ คล้าก ซึ่งสีหน้าของทั้งสองแสดงออกอย่างชัดเจนว่าผิดหวังในผลงานของลูกทีม และนกหวีดยาวของผู้ตัดสินก็ดังขึ้น ลิเวอร์พูลพบกับความพ่ายแพ้นัดที่สิบในลีค ของฤดูกาลและเป็นการพ่ายแพ้ ห้าจากเจ็ดนัดในผลงานการออกนอกบ้านหลังสุด จนตกไปอยู่อันดับที่สิบสาม ห่างจากโซนตกชั้นแค่สี่แต้มเท่านั้น


จากความพ่ายแพ้ในนัดนี้ แสดงให้เห็นว่าแนวรับทั้งสี่คนที่ยังมีข้อบกพร่องอยู่ตลอด รวมถึงแผงมิดฟิลด์ที่ไม่สามารถขึ้นบอลจากกลางไปสู่หน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากพอ ทำให้ ตอร์เรส ดูโดดเดี่ยวและไม่สามรถกดดันกองหลังของเจ้าถิ่นได้เลย

ดูแล้ว คิง เคนนี่ ซึ่งกลับมารักษาหงส์ป่วยตัวนี้ คงไม่ใช่งานง่ายๆแล้วละครับ









เสน่ห์แอนฟิลด์
ผลงานในฤดูกาลนี้ของหงส์แดง ลิเวอร์พูล บ่งบอกถึงความล้มเหลวอย่างแท้จริง และเดอะ ค็อปก็คงจะรู้สึกถึงความผิดหวังและท้อแท้ไม่แพ้ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับสโมสรเช่นกัน
แต่อย่างไรก็ตาม ความรักต่อสโมสรแห่งนี้ของผม ก็ไม่ได้จางหายหรือลดน้อยลงไปแม้แต่นิดเดียวจริงๆ ตรงกันข้ามสโมสรแห่งนี้ได้สร้างรอยยิ้มให้และอาจจะรวมถึงเดอะ ค็อปบางท่านอีกครั้งหนึ่ง แม้ว่าผลงานในพรีเมียร์ลีคปีนี้ จะไม่น่าปลื้มใจอย่างมากก็ตาม
บรรดาเดอะ ค็อปในเมืองลิเวอร์พูลแสดงให้เห็นว่าสโมสรลิเวอร์พูลเป็นเสมือนคนในครอบครัวพวกเขาจริงๆ และพวกเขาก็มีบทบาทในการบริหารทีมด้วยเช่นกัน  การกดดันบอร์ดบริหารของทีมให้ปลด รอย ฮ็อดจ์สัน ออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมและแต่งตั้ง คิง เคนนี่ ของพวกเขามารับบทอัศวินเพื่อกอบกู้หงส์แดงและนำเครื่องจักรสีแดงในอดีตกลับมาอีกครั้ง และก็เป็นผลในท้ายที่สุด เมื่อจอห์น เฮนรี่ ทนการกดดันจากแฟนบอลไม่ไหว สั่งปลด ฮ็อดจ์สัน ออกจากตำแหน่งและแต่งตั้ง เคนนี่ ดัลกริช มาดำรงตำแหน่งผู้จัดการทีมเต็มตัว ซึ่งครั้งหนึ่งในอดีตเขาเคยอยู่ตรงนี้และนำความสำเร็จมาสู่ทีมอย่างมากมาย
การกลับมาในตำแหน่งผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลของ คิง เคนนี่ อดีตตำนาน ผู้ยิ่งใหญ่ของทีม ทำให้ผมยิ่งมั่นใจในความมีเสน่ห์และมนต์ขลังของสโมสรแห่งนี้ ซึ่งไม่อาจหาจากที่อื่นได้จริงๆ เฉกเช่นในอดีต การกลับมาแอนฟิลด์ของ เดอะ ก็อด แห่งแอนฟิลด์ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ ที่สร้างความยินดีแก่สาวกเดอะ ค็อปทั่วโลก เพราะถึงแม้ฟาวเลอร์จะจากทีมไปในช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่เขาก็ยังเป็นที่รักของแฟนบอลอยู่ตลอดเวลา
และสุดท้ายผมก็แอบหวังลึกๆว่าความมหัศจรรย์และความคลาสสิคของสโมสรห่งนี้ จะไม่ได้หยุดอยู่แค่นี้และจะปรากฏให้เราได้เห็นกันอีกครั้งหนึ่งของชายที่ชื่อ ไมเคิ่ล โอเว่น 
เกือบไปอีกแล้ว...หงส์แดง
เล่นเอาเหล่ากองเชียร์ทั้งในและนอกสนามใจหายใจคว่ำไปตามๆกันสำหรับหงส์แดง ลิเวอร์พูล เมื่อเปิดบ้านเฉือนเอาชนะเจ้าสัวน้อย ฟูแล่มไปแบบทุกลักทุเล ชนิดที่ต้องบอกว่ารอดมาได้ยังไง
ประตูชัยของลิเวอร์พูลมาจากการทำเข้าประตูตัวเองแบบเหนือชั้นผสมลนลานของ จอห์น เพนซิลล์ จากจังหวะที่ ตอร์เรส ซัดแฉลบขากองหลังและบอลเด้งไปชนเสาก่อนที่บอลจะชุลมุนอยู่หน้าประตู จนจังหวะสุดท้าย เพนซิลล์มีโอกาสเคลียร์ทิ้ง แต่ดันเตะไม่เต็มเท้ากลายเป็นเฉือนบอลสปินท์กลับหลังเข้าไปประตูไปแบบเจ้าตัวยังเซ็งเมื่อจบเกม

เกมโดยรวมทั้งครึ่งแรกแม้ว่าลิเวอร์พูลจะขึงเกมในแดนกลางและเน้นการเคาะบอลสั้นๆได้มากกว่า แต่จังหวะเข้าทำกลายเป็นทีมเยือนที่โต้กลับได้เสียวมากกว่า ส่วนเจ้าถิ่นนอกจากจังหวะที่ตอร์เรสซัดเข้าไป ซึ่งดูจากภาพช้าไม่ล้ำหน้าอย่างชัดเจนและจังหวะผิดพลาดของจอห์น เพนซิลล์ ที่ทำให้เจ้าถิ่นขึ้นนำแล้ว นอกนั้นถือว่าฟูแล่มเล่นได้ตามแผนที่เตรียมมาคือเน้นตั้งรับและสวนกลับเร็ว และเกือบได้ผลไปหลายจังหวะเหมือนกัน
ยิ่งในครึ่งหลังกลายเป็นทีมเยือนซึ่งอาศัยลูกโด่งเล่นงานกองหลังเจ้าถิ่นจนเจียนอยู่เจียนไปหลายจังหวะแต่สุดท้ายก็ยันเอาไว้ได้สำเร็จ จบเกมชัยชนะนัดแรกในแอนฟิลด์ของ คิง เคนนี่ ก็ได้มาในที่สุดแม้ว่าจะไม่ค่อยประทับใจกองเชียร์ก็ตาม
หลังเกมนัดนี้ คิง เคนนี่ คงต้องติวเข้มบรรดาแผงกองหลังทั้งหมด ซึ่งดูแล้วยังมีปัญหากับลูกกลางอากาศพอสมควร สังเกตได้จากบอลโด่งเข้ามาในเขตโทษในนัดนี้ ส่วนใหญ่เป็นนักเตะฟูแล่มที่ได้เล่นบอลจังหวะแรกเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งในนัดถัดไปหงส์แดงมีโปรแกรมเปิดบ้านรับมือสโต๊ค ซิตี้ เพราะทีมช่างปั้นหม้อมีทีเด็ดที่ลูกโด่งลูกกลางอากาศ ยิ่งแผงหลังลิเวอร์พูลที่ค่อนข้างหละหลวมในลูกกลางอากาศอยู่แล้ว ทำให้น่าเป็นห่วงแม้จะเล่นในบ้านก็ตาม และสโต๊คเพิ่งจะได้ตัว ยอน คาริวมาเสริมทีม ยิ่งจะทำให้น่ากลัวมากยิ่งขึ้นแน่นอน
ส่วนการคัมแบ็กของสตีเวฟ่น เจอร์ราร์ด ก็ยังต้องใช้เวลาเรียกจังหวะเก่าๆกลับมาอีกสักนัดสองนัด ซึ่งในนัดนี้ยังดูไม่ค่อยสมบูรณ์และยังช้าอยู่ในหลายๆจังหวะแต่ก็ทำให้ทีมฮึกเหิมและดูมีกำลังใจมากขึ้นกว่าเดิม
ในนัดนี้ก็มีจังหวะที่สร้างรอยยิ้มและเรียกเสียงฮือฮาจากคนดูเช่นกัน เมื่อมาร์ค ฮิวจส์ ผจก. ฟูแล่มมีโอกาสโชว์สเต็ปการเดาะบอลอย่างเหนือชั้นข้างๆสนาม ต่อหน้าเคนนี่ ดัลกลิช อดีตเทพของลิเวอร์พูล จนทำให้คิง เคนนี่ ถึงกับปรบมือให้และเข้ามาขอจับมือกับอดีตตำนานปีศาจแดง แบบเรียกรอยยิ้มและลดดีกรีความเครียดในเกมได้พอสมควร.

ผลสอบหลังเกม
เรน่า   7.5 : ยังไว้ใจเสมอ เซฟได้สวยๆหลายครั้งในนัดนี้ มีส่วนสำคัญทำให้ลิเวอร์พูลรอดพ้นความพ่ายแพ้ไปได้ และการออกบอลเร็วถือว่าแม่นยำและได้เปรียบทุกครั้ง
เคลลี่   6.5 : เด่นพอสมควรทั้งรุกและรับ แม้จะมีจังหวะพลาดในบางครั้ง แต่ก็ถือว่าสอบผ่าน
สเคอร์เทล  5.5 :  มีเสียวตลอด จังหวะผิดพลาดยังมีให้เห็นอยู่เรื่อยๆ ถือว่าเป็นจุดอ่อนในแผงหลังตอนนี้
แอกเกอร์ 6.5 : เป็นหัวใจในแนวรับไปแล้ว หลังจากกลับมายึดตัวจริงได้ตลอดในระยะหลัง แต่ก็ยังต้องเพิ่มความแข็งแกร่งในลูกกลางอากาศ

จอห์นสัน  7 :  เติมเกมรุกได้อย่างยอดเยี่ยม กดดันแผงกองหลังทีมเยือนได้ตลอดทั้งเกม นัดนี้ผลงานถือว่าเข้าตามากๆ ในตำแหน่งแบ็กซ้าย

โพลเซ่น  5.5 : ไม่ได้หวือหวา แต่ก็ไม่ได้มีจังหวะพลาดให้เห็น  ถือว่าไม่โดดเด่น ควรจะมีลูกจ่ายทะลุช่องแบบในนัดที่แล้วให้มากขึ้น

เมเรเลส   6.5 :  กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น ช่วยเกมแดนกลางได้ดี แบ่งเบาภาระของ เจอร์ราร์ดได้พอสมควร แต่ยังต้องเน้นความเด็ดขาดในจังหวะสุดท้าย
เจอร์ราร์ด  6 :  กลับมาคุมเกมแดนกลางเหมือนเดิม หลังจากโดนแบนไปสามนัด  ฟอร์มนัดนี้ยังถือว่าธรรมดา ไม่มีลูกจ่ายหรือยิงแบบสวยๆให้เห็น  อาจจะเป็นเพราะร่างกายยังไม่เข้าที่

มักซี่   5 :  มีส่วนร่วมกับเกมน้อยมาก ทำให้ริมเส้นด้านซ้ายไม่มีพิษสงเลย 

เค้าท์  5 :  ได้บอลเยอะพอสมควร แต่ยังทำประโยชน์ในเกมบุกให้กับทีมได้ไม่มากพอ แต่ก็ยังได้จังหวะไล่บอล ที่ช่วยลงมาเกมรับได้ตลอด

ตอร์เรส  6 :  บทบาทน้อยไปหน่อยในนัดนี้  เนื่องจากบอลจากแดนกลางไม่ค่อยถึงตัว   ต้องลงไปล้วงบอลเอง ทำให้กองหลังทีมเยือนมีเวลาตั้งรับได้สบาย
ใจหาย

ต้องยอมรับว่าข่าวการย้ายทีมของ ตอร์เรส ในช่วงนี้ทำให้แฟนบอลหงส์แดงรวมถึงแฟนบอลทั่วโลก ใจจดใจจ่อกับการย้ายทีมของซูเปอร์สตาร์รูปหล่อแก้มแดงรายนี้กันแบบถึงขั้นอดนอนกันไปหลายราย
ถึงตอนนี้เวลา 10.15 ณ กรุงลอนดอนประเทศอังกฤษ ค่อนข้างแน่นอนแล้วว่า เฟร์นานโด ตอร์เรส หัวหอกดีกรีแชมป์โลกของหงส์แดง ลิเวอร์พูล จะย้ายมาเป็นพลพรรคสิงห์บลู เชลซี ยักษ์ใหญ่แห่งกรุงลอนดอนอย่างแน่นอนแล้ว เหลือเพียงแค่การเซ็นสัญญาอย่างเป็นทางการเท่านั้น
ในฐานะแฟนหงส์แดงคนหนึ่ง แม้จะไม่ได้รักเฟร์นานโด ตอร์เรส เท่ากับสัญลักษณ์ของสโมสรอย่าง เจอร์ราร์ด หรือ คาราเกอร์ แต่ก็อดที่จะยอมรับไม่ได้ว่า ใจหายกับการย้ายทีมแบบสายฟ้าแลบของตอร์เรส เช่นกัน ก่อนหน้านี้หัวหอกชาวสเปนเพิ่งจะออกมาให้สัมภาษณ์ว่าพร้อมที่จะนำลิเวอร์พูลกลับไปสู่ตอนบนของกลางและจะไม่ทิ้งทีมอย่างแน่นอน
แต่แล้วในที่สุด ตอร์เรส ก็อดทนรอความสำเร็จในถิ่นแอนฟิลด์ไม่ไหวจริงๆ ตัดสินใจย้ายออกจากทีมหงส์แดง ที่ครั้งหนึ่งเขาเคยยอมรับว่า รักไปแบบช็อกเดอะ ค็อป ทั่วโลก ทำให้แฟนหงส์บางท่านเข้าขั้นรับไม่ได้กับการกระทำในครั้งนี้
อย่างไรก็ตาม นี่คือหนทางของนักฟุตบอลครับ ตอร์เรสไม่ได้ย้ายไปเพื่อเงิน แต่ย้ายไปเพื่อความสำเร็จ ซึ่งจุดนี้บรรดาแฟนลิเวอร์พูลก็คงจะเข้าใจและต้องยอมรับว่า ลิเวอร์พูลยังไม่สามารถไปถึงจุดนั้นได้ในช่วงเวลานี้อย่างแน่นอน
ส่วนการเข้ามาของคู่หัวหอกใหม่ถอดด้ามของลิเวอร์พูลทั้ง คาโรลล์ และ ซัวเรซ ก็ดูน่าสนใจนะครับ คนนึงคล่อง เทคนิคดี ยิงคม ส่วนอีกคนสูงใหญ่ พักบอล เก็บบอลดี และที่สำคัญ เท้าซ้ายของคาโรลล์นั้นไม่เป็นรองใครแน่นอนครับ หนักและคมมาก เหมือนที่ลิเวอร์พูลเคยเจอมาแล้วในยุคของปู่รอย น่าติดตามครับว่าหงส์แดงในยุคไร้ตอร์เรสจะไปได้ไกลแค่ไหน ในโค้งสุดท้ายของฤดูกาลนี้ครับ
ปล ทีมหงส์แดงในใจผมครับ
                                                                            เรน่า                                      
จอห์นสัน                              เคลลี่                                             คาราเกอร์                                แอ็กเกอร์
เค้าท์                                  เมเรเลส                                           เจอร์ราร์ด                                โจ โคล
                                           ซัวเรซ                                             คาร์โรล

Return of the King Kenny


            

เชื่อว่าการเข้ามารับบทบาทผู้จัดการทีมของ คิง เคนนี่ หรือ เคนนี่ ดัลกลิช ผู้ที่นำลิเวอร์พูลประสบความสำเร็จอย่างมากมายในยุคต้นทศวรรษที่ 90 คงจะทำให้บรรดาสาวกเดอะ ค็อปทั่วโลกมีรอยยิ้มกันอย่างถ้วนหน้า แม้ว่าสถานการณ์ของทีมในปัจจุบันจะย่ำแย่ก็ตามที
แม้ว่าเคนนี่ จะวางมือจากการเป็นผู้จัดการทีมมานานหลายปีแล้ว แต่เขาก็ยังทำหน้าที่อยู่เบื้องหลังและมีบทบาทอยู่ภายในสโมสรที่เค้ารักและผูกพันแห่งนี้มาอยู่ตลอด ซึ่งแฟนบอลก็คงที่จะอดคิดไม่ได้ว่าการรีเทิร์นของเดอะ คิง ผู้นี้คือคนที่ใช่ ที่จะพาหงส์แดงตัวนี้กลับมาผงาดอีกครั้ง
การกลับมาแอนฟิลด์ของ คิง เคนนี่ ครั้งนี้ทำให้มนต์เสน่ห์ของสโมสรแห่งนี้ก็ยังคงมีอยู่เต็มเปี่ยมและไม่ได้จางหายไปกับกาลเวลาที่ผ่านไปจริงๆ